เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๕ ก.ย. ๒๕๕๓

 

เทศน์เช้า วันที่ ๕ กันยายน ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราเกิดเป็นมนุษย์นะ มนุษย์สมบัตินี่มีคุณค่ามาก มีคุณค่ามากจริงๆ แต่เรามองเฉพาะสถานะของมนุษย์ เราได้สิ่งใดมาแล้ว อยู่กับมือเรานี่ไม่ค่อยมีค่า ของที่ยังไม่อยู่กับมือเรานี่ เราไขว่คว้าน่ะของที่มีคุณค่ามากเลย ของที่ยังไม่ถึงมือเรา กับของที่หลุดจากมือเราไป ถ้าของยังไม่หลุดจากมือเรานะ เราพยายามไขว่คว้ามัน ของหลุดจากมือเราไปน่ะ เราก็เสียดาย แต่ของที่อยู่กับมือนี่ไม่ค่อยมีค่า

“มนุษย์สมบัติ” เราได้เป็นมนุษย์มานี่มีค่ามาก แต่เวลาเป็นมนุษย์นี่ เราคิดในสถานะของเรานี่ เราคิดไปอดีต อนาคตไง คิดไปสิ่งที่เป็นอดีตมา แล้วก็อนาคต จินตนาการไป แต่ปัจจุบันนี้เราไม่ได้คิด พอเราไม่ได้คิดนะ เราเห็นแต่อนาคตใช่ไหม พรุ่งนี้ มะรืนนี้ สิ่งที่เราจะประสบความสำเร็จจากอนาคต นี่มันก็ปากกัดตีนถีบกันไปเห็นไหม

แต่ถ้าทำบุญมีอำนาจวาสนามา เราคิดสิ่งใด เราทำสิ่งใด เราจะสมความปรารถนา หน้าที่การงานไม่ใช่กิเลสนะ กิเลสคือตัณหาความทะยานอยาก ที่มันขับไสออกพ้นจากหน้าที่การงานไป เห็นไหม เวลาเราเป็นคฤหัสถ์กันน่ะ เราก็ปากกัดตีนถีบ เวลาเราบวชเป็นพระมานะ พระก็ปากกัดตีนถีบ

พระเห็นไหม ปัจจัยเครื่องอาศัย อาศัยแต่ความศรัทธาเชื่อถือของสังคมเขา ศรัทธาเชื่อถือใช่ไหม เขาต้องปรารถนาบุญของเขา ปลาอยู่กับน้ำ ความศรัทธาเชื่อถือ ถ้าพระทำตัวดีเห็นไหม สิ่งที่ปัจจัยเครื่องอาศัยก็มั่นคง ถ้าพระทำตัวไม่ดี ปัจจัยเครื่องอาศัยมันก็ไม่มั่นคง

นี่พอไม่มั่นคง มันปัจจัยเครื่องอาศัยใช่ไหม เหมือนกับเราฆราวาส เราต้องทำมาหากิน เราต้องพยายามขวนขวายของเรา สิ่งนี้มันเป็นหน้าที่การงานของเรา แต่ความประสบความสำเร็จนั้นอีกเรื่องหนึ่ง

พระนี่เห็นไหม ปัจจัยเครื่องอาศัยมันแค่ดำรงชีวิตเท่านั้นนะ แต่ปากกัดตีนถีบด้วยการนั่งสมาธิภาวนา ปากกัดตีนถีบต้องเอาใจของใจไว้ในอำนาจของตน ถ้าเอาใจของใจไว้ในอำนาจของตนไม่ได้ นี่มันเร่าร้อน ความฟุ้งซ่าน ตัณหาความทะยานอยากในหัวใจมันบีบคั้น พอมันบีบคั้นเห็นไหม นี่ปากกัดตีนถีบด้วยธรรมและวินัย

พระมีศีลมีธรรมเป็นสมบัติ ทางฆราวาสเขามีแก้วแหวนเงินทองเป็นสมบัติ สมบัติเห็นไหม สมบัติของใคร ใครจะหาสิ่งใดเป็นสมบัติของตัว ฉะนั้น สิ่งที่เราแสวงหากันเห็นไหม เราแสวงหากัน ถ้าไม่มีเริ่มต้น ไม่มีที่หัวใจของเราแสวงหา มันจะเอาอะไรแสวงหา

เราไม่มาเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์เป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติ สิ่งที่เป็นทรัพย์สมบัติของเรานี่ เพราะเราเป็นมนุษย์ ถึงเป็นทรัพย์สมบัติของเรา เราจะตายไปนะ ทำพินัยกรรมไว้เป็นมรดกตกทอดกันไปเลย สิ่งนั้นเขารับพินัยกรรมกันได้เห็นไหม

แต่เวลาเราเป็นพระเป็นเจ้า “ศีลธรรมเป็นสมบัติของเรา” แล้วมรดกตกทอดล่ะ เวลาครูบาอาจารย์ท่านนิพพานไป เราไปเผาศพท่าน เวลาเราไปเผาศพครูบาอาจารย์เห็นไหม ถ้าท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านเป็นครูบาอาจารย์ของท่านนะ เราไปเผาศพเพื่อระลึกถึงเห็นไหม

ความระลึกถึง หัวใจที่ระลึกถึงนี่ มันสะเทือนหัวใจของเรานะ ความสะเทือนหัวใจของเรานี่ เข้าถึงใจ ถ้าเข้าถึงใจมันเข้าถึงธรรม เวลาฟังธรรมขึ้นมาเห็นไหม เวลาธรรมะ เวลาเป็นสัจธรรม เวลาพูดสัจธรรมขึ้นมา มันเข้าถึงใจดำของเราเห็นไหม ขนลุกขนพองเลยนะ ขนนี่ลุกเลยนะ นั่นนะมันเข้าถึงใจ

ถ้ามันไม่เข้าถึงใจนะ มันไม่เข้าถึง เวลาครูบาอาจารย์เราเสียชีวิตไป เราไปเผาศพเห็นไหม สิ่งนั้นเราไปเพื่อเคารพ เพื่อระลึกถึง พอระลึกถึงมันเข้าถึงหัวใจ แต่คุณสมบัติของท่านล่ะ ธรรมของท่านล่ะ สมบัติของท่านล่ะ ท่านเอามรดกตกทอดสิ่งใดไว้ มรดกตกทอดของท่านเห็นไหม นี่เวลาไปเผาศพครูบาอาจารย์ ไปเผาศพนั่นมันเป็นธาตุ แต่สิ่งที่เป็นมรดกตกทอด ข้อวัตรปฏิบัติล่ะ สิ่งที่ท่านกระทำมาเห็นไหม

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พูดกับพระกัสสปะ พระกัสสปะนี่เป็นพระอรหันต์ อายุ ๘๐ ปี เท่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถือธุดงควัตรเห็นไหม “กัสสปะเอย..เธอก็อายุปานเรา เป็นพระอรหันต์แล้ว ทำไมต้องถือธุดงควัตร คือถือธรรมวินัยไง เธอทำไปทำไม เธอเป็นพระอรหันต์แล้วทำไปทำไม”

พระกัสสปะพูดกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “ข้าพเจ้าปฏิบัติไว้ เพื่อเป็นคติ เป็นแบบอย่างไว้ให้อนุชนรุ่นหลัง ได้ถือเป็นคติแบบอย่าง” เห็นไหม ท่านทำเพื่ออนุชนรุ่นหลัง เพื่อศาสนทายาท เพื่อธรรมทายาท เพื่ออนุชนรุ่นหลังได้ประพฤติปฏิบัติตาม

ครูบาอาจารย์ที่ท่านเสียชีวิตไป เราไปเผาศพ เราระลึกถึงท่าน แล้วข้อวัตรปฏิบัติล่ะ สิ่งที่การกระทำของท่านล่ะ นี่ศีลธรรมของท่านล่ะ นี่ศีลธรรมเป็นสมบัติของท่าน ศีลและธรรมในหัวใจของท่านเป็นสมบัติของท่าน เห็นไหม

นี่เราเกิดเป็นฆราวาส เราเกิดเป็นคน ถ้าเรามีความมุ่งมั่นเราก็ออกบวช ออกบวช ออกเป็นนักพรต เพื่ออะไร เพื่อจะเข้าถึงสู่ถึงสัจธรรม ถ้าถึงสู่สัจธรรมเห็นไหม มันต้องมีสติปัญญา ถ้ามีสติปัญญา สติปัญญาเกิดจากไหนล่ะ สติปัญญาเราศึกษากัน สติปัญญามันเกิดจากตำรับตำรา ตำรับตำราเป็นชื่อทั้งหมดนะ เวลาครูบาอาจารย์สอนก็ยังเป็นชื่อ ยังงงนะ เหมือนผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเห็นไหม ครูบาอาจารย์ท่านบอก “ใจดวงหนึ่ง สู่ใจดวงหนึ่ง”

จากใจดวงหนึ่ง สู่ใจดวงหนึ่ง ใจดวงนั้น ได้ดัดแปลง ได้แก้ไข มันมีเหตุมีผล มีสติปัญญา แล้วดัดแปลง คำว่าสติปัญญา สติคือระลึกรู้ ปัญญาคือการไตร่ตรองความรู้สึกของเรา ถ้ามีปัญญาการไตร่ตรองความรู้สึกของเรา มันควบคุมใจของเราได้เห็นไหม ถ้ามันควบคุมใจของเราได้ จากที่ปากกัดตีนถีบ มันเร่าร้อนของมัน เดินจงกรมเหงื่อไหลไคลย้อย นั่งสมาธิจนหลังขดหลังแข็ง เพื่อให้จิตมันสงบนะ ให้มีศีลมีธรรม

สมาธิธรรม ปัญญาธรรม มันเป็นศีลเป็นธรรมเกิดขึ้นมาจากหัวใจขึ้นมา เวลามันเกิดขึ้นมาจากหัวใจเห็นไหม มันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นในตัวของมันเอง มันรับรู้ของตัวมันเองเห็นไหม ทางโลกเขาสื่อสารกัน เขาต้องสื่อสารกันด้วยภาษา ด้วยอักษร ด้วยต่างๆ ที่เขาศึกษากันมา

แต่เวลาจิตมันสัมผัส มันจะสื่อสารกับใครล่ะ ใจมันสัมผัสกับธรรม มันสื่อสารอย่างไร สุตมยปัญญา เห็นไหม เราศึกษาขึ้นมานี่ เราศึกษา เราเปิดตำรา เราอ่านตำรา นี่คือการศึกษา อ่านตำรามันอยู่ข้างนอก มันกระทบ

แต่เวลาจิตมันเป็นสมาธิธรรม จิตมันเป็นสมาธิเอง จิตมันเป็นปัญญาขึ้นมาเอง สิ่งที่มันเป็นขึ้นมาเองมันสื่อสารกันอย่างไร มันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นสันทิฏฐิโก มันเป็นขึ้นมาอย่างไร

นี่สิ่งนี้ “จากใจดวงหนึ่ง สู่ใจดวงหนึ่ง” ถ้าใจดวงหนึ่งมันได้สัมผัส ใจดวงหนึ่งไม่มีความเข้าใจ ใจดวงหนึ่งไม่รู้ที่มาที่ไป ใจดวงหนึ่งไม่รู้อะไร สติปัญญามันเกิดขึ้นมาอย่างไร แล้วใจดวงนั้นจะเอาอะไรไปบอกเขา มันก็เอาตำราไง ตำราก็คือการสื่อสารของสังคม สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา นี่ศีลธรรม จริยธรรม

การเกิดเป็นมนุษย์ เพราะเกิดเป็นมนุษย์มันถึงได้ประพฤติปฏิบัติ เพราะเป็นมนุษย์เราถึงได้เป็นคน พอเป็นคนขึ้นมาเราถึงมีชาติตระกูล พอเรามีชาติตระกูลขึ้นมา ตระกูลของเราจะสืบต่อกันไป แล้วเรามีความกตัญญูกตเวที นี่มันเป็นสมบัติของคนดี

คนดีมีความกตัญญู มีกตเวที ระลึกถึงคุณของคน เป็นสมบัติของคนดีทั้งนั้นน่ะ ความเป็นคนดี เครื่องหมายของคนดี แล้วคนชั่วล่ะ คนชั่วมันทำลายทั้งหมดนะ การทำลายนั้น ถ้าเป็นทางโลกเขาก็บอกเป็นการทำลายสังคม ทำลายผู้อื่น

แต่ถ้าเป็นธรรมนะ “มันทำลายตัวเอง” ทำลายตัวเองเพราะอะไร “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” การทำลายตัวเอง ก็คือทำลายหัวใจของตัวเองใช่ไหม ทำลายโอกาสของตัวเองใช่ไหม ถ้าเราเป็นคนดี “กลิ่นของศีล...หอมทวนลม” กลิ่นของศีล คนดีเข้าที่ไหน สังคมก็เปิดกว้าง สังคมต้องการคนดี สังคมต้องการหมู่คณะที่ดี

แต่ถ้าเราเป็นคนเลวล่ะ คนเลวสังคมเขาไม่ต้องการอยู่แล้ว พอเราทำไปสังคมเขาคัดค้านเราอยู่แล้ว สังคมเขาต่อต้านเราอยู่แล้ว เห็นไหม มันทำลายเราเพราะเราเข้าสังคมไม่ได้ เราเข้าไปหมู่คณะไม่ได้ สังคมเขาก็ไม่เอา คนไม่ดีที่ไหนเขาก็ไม่เอา แต่เวลาเราทำ เราว่าเราทำแล้วได้ประโยชน์ไง แต่มันเป็นโทษกับเรา เพราะมันทำลายตัวเอง

แต่ถ้าเป็นคนดีเห็นไหม เวลาทำอะไรขึ้นไป “คนนี้เป็นคนโง่ คนนี้เป็นคนที่ทุกคนเอารัดเอาเปรียบได้” เขาเอารัดเอาเปรียบเพราะคนชั่วเขาทำของเขา เขาทำลายเขา เราเป็นคนดี เขาจะเอารัดเอาเปรียบ เขาจะทำสิ่งใดกับเราบ้าง เรารู้ทันไง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดในธรรมนะ “เธออย่าดูถูกความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้านะ” ดูสิ ครูบาอาจารย์ท่านรู้ตัวของท่าน ท่านรู้สติของท่าน ท่านรู้ความคิดของท่าน ท่านรู้ว่าพูดออกไปเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ เห็นไหม นี่ความนิ่งอยู่ เขารู้ทันทั้งนั้นน่ะ! แต่เขานิ่งอยู่

ไอ้คนเลวสิ ไอ้คนชั่ว มันไม่รู้ มันแสดงออกตลอดเวลา ไอ้คนจริงสิมันเก็บไว้ในใจ เขารู้อยู่ เขาก็ทันคนนะ เห็นไหม “อย่าดูถูกความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้านะ” พระอริยเจ้าท่านรู้ท่านเห็นของท่าน แต่ไอ้คนเลวมันไม่รู้หรอก มันเหยียบไปเลยนะ

โธ่... ความคิดของคนนะ เรามองหน้ามองตากันน่ะ เราเข้าใจได้ แต่ความคิดของคนมันลึกซึ้งขนาดไหน ความลึกซึ้งอย่างนี้ ทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ด้วยวิธีการใดล่ะ

แต่ถ้าเป็นทางธรรม เห็นไหม “เราเป็นมนุษย์ นี่คืออริยทรัพย์” ทรัพย์สมบัติของการเป็นมนุษย์ ความเป็นมนุษย์มันก็ประกอบสัมมาอาชีวะทางโลก กตัญญูกตเวที.. คนดี.. เลี้ยงดูเชิดชูตระกูล.. ดูแลสังคมเห็นไหม มันก็เป็นคนดี

“ความดี” นี้เป็นอามิส คือมันเป็นอนิจจัง เวลามันหมุนเวียนไปมันก็ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เกิดเป็นจักรพรรดิ เกิดเป็นผู้มีอำนาจวาสนาบารมี มันก็เวียนเกิดเวียนตาย มันเป็นผลของวัฏฏะ มันก็วนไป

แต่ถ้าเป็นธรรมล่ะ เราเกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนกันเห็นไหม เราเสียสละสมบัติสาธารณะ สิทธิความเป็นมนุษย์ สิทธิที่เราจะได้กันตามสาธารณะ ออกไปเป็นนักพรต นักบวช เพื่อจะรื้อค้นใจของเรา เห็นไหม เราเสียสละมาชั้นหนึ่ง แล้วเรามารื้อค้นของเรา ถ้ามันแก้ไข มันดัดแปลงของมัน พอมันแก้ไข มันดัดแปลงของมัน หัวใจมันได้ความสุขสงบมากกว่าโลกเขา

ความสุขสงบของโลกเขานะ สิ่งใดแม้แต่ความสบายใจ ความสะดวกใจ นั่นความสุขของเขา แต่ไม่ใช่ความสุขของธรรม เห็นไหม พอจิตมันเป็นสมาธิ มันเป็นเอกัคคตารมณ์ มันเป็นหนึ่งแล้ว จากที่จิตเป็นสอง คือ ความคิดกับเรา สังคมกับเรา ความเป็นอยู่กับเรา เป็นสองมาตลอด ครอบครัวปู่ ย่า ตา ยาย ลูก หลาน เหลน ประสบความสำเร็จ มีความสุขเห็นไหม เพราะมันเป็นสอง

พอเป็นหนึ่ง เห็นไหม “จากใจดวงหนึ่ง สู่ใจดวงหนึ่ง” พอเป็นหนึ่งขึ้นมา ความสุข ความสงบอันนั้นมันเกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมาจากไหนล่ะ! ก็เกิดจากการเป็นมนุษย์ไง เกิดจากมนุษย์ที่มีวุฒิภาวะ ออกเป็นนักพรตนักบวช พอออกเป็นนักพรตนักบวชแล้วก็ปากกัดตีนถีบ เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา จนกว่ามันจะสงบเข้ามา

พอสงบเข้ามาจิตเป็นหนึ่ง จิตมันจะแก้ไขตัวมันเอง ถ้าจิตมันแก้ไขตัวมันเอง ด้วยสติ ด้วยปัญญา จิตมันจะแก้ไขตัวมันเอง มันจะแก้ไขไม่ได้ เหมือนเทียน.. เวลาเราจุดเทียนไว้มันจะเผาไหม้ตัวมันเอง อันนั้นเทียน เพราะแสงสว่างนั้น ความร้อนนั้นมันเผาไหม้ตัวมันเอง

แต่จิตมันไม่เป็นอย่างนั้นหรอก มันเป็นสันตติ มันเกิดตาย ธาตุรู้... สสารที่เป็นนามธรรม สสารที่เป็นธาตุ สสารอื่นทำลายได้ สสารจิตทำลายไม่ได้ ธาตุรู้ทำลายไม่ได้ ธาตุรู้คงที่ แต่มันเกิดอยู่! เกิดอยู่! นี่ แล้วมันเกิดปัญญาเข้ามาชะล้างมัน เข้ามาทำลายสสารเห็นไหม สสารธาตุรู้ๆๆ ธาตุที่มีชีวิต

ธาตุอื่นมันไม่มีชีวิต มันแปรสภาพของมันใช่ไหม แต่ธาตุรู้นี่ เหยียบย่ำทำลายขนาดไหน ดูสิ เวลาเขาติฉินนินทา เจ็บปวดขนาดไหน มันก็เจ็บอยู่อย่างนั้น ทำไมมันไม่ย่อยสลายสักที ตกนรกอเวจี ตกกี่ภพกี่ชาติ มันเคยย่อยสลายไหม มันไม่ย่อยสลายเลย ธาตุรู้มันเป็นอย่างนี้ ธาตุรู้ธาตุจิตนี่

แล้วเวลาเรามีสติปัญญา เวลามันสงบเข้ามา มันก็มีความสุขของมันเข้ามา แล้วมีปัญญาเข้ามาเห็นไหม มันเริ่มชะล้างทำลายสิ่งความสกปรก ทำลายเป็นอนุสัย สิ่งที่มันนอนเนื่องมา ดูสิ ผลไม้ดอง.. ผลไม้ปกติ เวลามันดองขึ้นมานี่ มันดองเพื่อถนอมอาหาร แต่หัวใจกิเลสมันดองไว้ พญามารมันควบคุมไว้ เราจะทำยังไงให้มันสะอาดบริสุทธิ์ขึ้นมา ให้มีปัญญา

นี่ไง พุทธศาสนา นี่หลักของพุทธศาสนา อริยทรัพย์ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มรรคญาณ อริยสัจ สัจจะความจริงในพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้ในอริยสัจ จากอริยสัจ จิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ พอจิตนี้มันได้กลั่นออกมา ได้ชะล้างออกมา มันกลั่นออกมาจากอริยสัจ มันไม่ใช่อริยสัจ อริยสัจมันก็เป็นอริยสัจ เห็นไหม สัจจะ สมมุติสัจจะ สิ่งใดนี่จิตนี้มันกลั่นออกมา ถ้ามันกลั่นออกมาเห็นไหม

เพราะความเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์นี่ มีอริยทรัพย์ มีคุณค่ามาก แต่เรามีความเจ็บช้ำน้ำใจ เรามีความเศร้าหมองในใจ เรามีต่างๆ นี่ มันเป็นเรื่องเวรเรื่องกรรม พอมีเวรมีกรรม เพราะการที่มันเป็นสถานะนี้มา สิ่งที่กรรมดีส่งมา อันนี้มหาศาลมากแล้ว พอเกิดมาเป็นมนุษย์เห็นไหม ของในกำมือเรา เราอยากได้สิ่งที่ยังไม่มาถึง เราอยากได้สิ่งที่อนาคต แต่ของที่อยู่ในกำมือเรา เราไม่เห็นคุณค่า

ในปัจจุบันนี้ชีวิตเรามีคุณค่า แล้วเรามีสติปัญญาใคร่ครวญกัน รักษากัน งานของโลก งานของโลก คือสัมมาอาชีวะ งานของธรรม เห็นไหม นั่งเฉยๆ รักษาหัวใจ รักษาความสงบของมัน แล้วมันจะพ้นจากวัฏฏะ พ้นจากการเกิดและการตาย พ้นจากการเวียนว่าย มีเวรมีกรรม มีความสัมผัส เวียนว่ายเวียนเกิด ใช้เวรใช้กรรม จะต้องมีการสัมผัสกันไปอย่างนี้ตลอดไป

แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนถึง เห็นไหม พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา มีสัจจะความจริงในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน เป็นความจริงขึ้นมาจริงๆ ก่อน แล้ววางธรรมและวินัยไว้สอนพวกเรา เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา เหมือนเกิดมาเราพบมรดกเป็นลายแทง แต่เรายังไม่เจอของจริง

แต่ถ้าคนเขาเกิดมาพบพระพุทธศาสนา เจอมรดก เจอลายแทง เจอธรรมและวินัย แต่เขาก็สนใจแต่ทางโลก เขาไม่สนใจทางธรรม ถ้าคนเรามีการสร้างอำนาจวาสนามา เขาสนใจทางโลกด้วย เพราะมันเป็นหน้าที่การงาน แต่เขาสนใจทางธรรมด้วย

เราพยายามจะรักษาเรา เราพยายามจะรื้อค้นใจของเรา ไม่เวียนว่ายเวียนเกิดซ้ำๆ ซากๆ เจ็บช้ำน้ำใจ บาดหมางกันมา มีการผูกพันกันมาอย่างนี้ตลอดไป สิ่งที่มันเป็นเวรเป็นกรรมในหัวใจนี่ มันจะมีอย่างนี้ตลอดไป เราถึงจะต้องให้อภัยทุกๆ อย่าง แล้วรักษาใจของเรา

“อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”

ตนเท่านั้นที่จะแก้กิเลสของตน ตนเท่านั้นที่จะชำระตนของตนได้ สิ่งที่การเกิดและการตาย การเวียนตายเวียนเกิดนี้ สายบุญสายกรรม มีเวรมีกรรมต่อกัน มันเป็นอย่างนี้ มันเป็นอย่างนี้เพราะมีเวรมีกรรม ไม่ใช่ว่ามันเป็นเช่นนี้เอง แล้วไม่มีอะไรเกาะเกี่ยวกับมัน มันเป็นอย่างนี้ เป็นอย่างนี้เพราะมีเวรมีกรรม มันเป็นอย่างนี้เพราะมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันเป็นอย่างนี้เพราะมีสังโยชน์ร้อยรัดมัน

คำว่าสังโยชน์คือยึดติด ทั้งๆ ที่เป็นอย่างนี้มันก็ยึดติด มันก็พอใจ มันก็ยังแสวงหา เห็นไหม มันเป็นอย่างนี้ แต่พอเป็นอย่างนี้แล้ว เอาความเป็นอย่างนี้มาใคร่ครวญมัน แกะมันใคร่ครวญมัน ปลดเปลื้องมัน ความเป็นอย่างนี้ มันจะอยู่ข้างนอก ใจของเราจะพ้นความเป็นอย่างนี้ พ้นเป็นอิสรภาพขึ้นมา เพราะมีการกระทำ เพราะเราเกิดเป็นมนุษย์ เราถึงมีโอกาส เราถึงมีสัจจะ เราถึงทำของเราได้ นี้คือบุญกุศลของเรา เอวัง